วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์

เครือข่ายคอมพิวเตอร์

แผนผังการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์
          เครือข่ายคอมพิวเตอร์ หรือ คอมพิวเตอร์เน็ตเวิร์ก (อังกฤษ: computer network; ศัพท์บัญญัติว่า     ข่ายงานคอมพิวเตอร์) คือระบบการสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์จำนวนตั้งแต่สองเครื่องขึ้นไปการที่ระบบเครือข่ายมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในปัจจุบัน เพราะมีการใช้งานคอมพิวเตอร์อย่างแพร่หลาย จึงเกิดความต้องการที่จะเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์เหล่านั้นถึงกัน เพื่อเพิ่มความสามารถของระบบให้สูงขึ้น และลดต้นทุนของระบบโดยรวมลง
การโอนย้ายข้อมูลระหว่างกันในเครือข่าย ทำให้ระบบมีขีดความสามารถเพิ่มมากขึ้น การแบ่งการใช้ทรัพยากร เช่น หน่วยประมวลผล, หน่วยความจำ, หน่วยจัดเก็บข้อมูล, โปรแกรมคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีราคาแพงและไม่สามารถจัดหามาให้ทุกคนได้ เช่น เครื่องพิมพ์ เครื่องกราดภาพ (scanner) ทำให้ลดต้นทุนของระบบลงได้

ชนิดของเครือข่าย

         เครือข่าย เป็นการเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกัน เพื่อสะดวกต่อการร่วมใช้ข้อมูล, โปรแกรม หรือเครื่องพิมพ์ และยังสามารถอำนวยความสะดวกในการติดต่อแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเครื่องได้ ตลอดเวลา ระบบเครือข่ายจะถูกแบ่งออกตามขนาดของเครือข่าย ซึ่งปัจจุบันเครือข่ายที่รู้จักกันดีมีอยู่ 5 แบบ ได้แก่
  • เครือข่ายภายใน หรือ แลน (Local Area Network: LAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกันในพื้นที่ใกล้เคียงกัน เช่นอยู่ในห้อง หรือภายในอาคารเดียวกัน
  • เครือข่ายวงกว้าง หรือ แวน (Wide Area Network: WAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ในการ เชื่อมโยงกัน ในระยะทางที่ห่างไกล อาจจะเป็น กิโลเมตร หรือ หลาย ๆ กิโลเมตร
  • เครือข่ายงานบริเวณนครหลวง หรือ แมน (Metropolitan area network : MAN)
  • เครือข่ายของการติดต่อระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ หรือ แคน (Controller area network) : CAN) เป็นเครือข่ายที่ใช้ติดต่อกันระหว่างไมโครคอนโทรลเลอร์ (Micro Controller unit: MCU)
  • เครือข่ายส่วนบุคคล หรือ แพน (Personal area network) : PAN) เป็นเครือข่ายระหว่างอุปกรณ์เคลื่อนที่ส่วนบุคคล เช่น โน้ตบุ๊ก มือถือ อาจมีสายหรือไร้สายก็ได้

ภาษาเครื่องคืออะไร

ภาษาเครื่อง (machine language)
            เป็น ภาษาโปรแกรมรุ่นที่หนึ่ง (first-generation programming language: 1GL) ซึ่งเป็นภาษาเดียวที่ไมโครโพรเซสเซอร์สามารถเข้าใจ คำสั่งเป็นตัวเลขล้วนๆ การอ่านและเขียนอาจต้องใช้เครื่องมือพิเศษ เป็นภาษาหรือคำสั่งที่ใช้้ในการสั่งงานหรือติดต่อกับเครื่องโดยตรง ลักษณะสำคัญของภาษาเครื่องจะประกอบด้วยรหัสของเลขฐานสองซึ่งเทียบได้กับ ลักษณะของสัญญาณทางไฟฟ้าเข้ากับหลักการทำงาานของเครื่องสามารถเข้าใจและ พร้อมที่จะทำงานตามคำสั่งได้ทันที ภาษาเครื่องจะมีกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ค่อนข้างจำกัดโปรแกรมมีลักษณะค่อนข้าง ยุ่งยากซับซ้อน รหัสโครงสร้างของแต่ลำคำสั่งของภาษาเครื่องจะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วนคือ

           -  รหัสบอกประเภทของคำสั่ง (Operation Code
  หรือ Op-Code) เป็นส่วนที่บอกคำสั่งให้เครื่องทำการ
  ประมวลผล เช่น ให้ทำการบวก ลบ คูณ หาร หรือเปรียบเทียบ

          -  รหัสบอกตำแหน่งข้อมูล (Operand) เป็นส่วนที่บอกว่า
  ข้อมูลที่จะนำมาประมวลผลนั้นเก็บอยู่ในตำแหน่ง (Address)
  ใดของหน่วยความจำ

การออกแบบฐานข้อมูล

การออกแบบฐานข้อมูล

     การออกแบบฐานข้อมูล (Designing Databases) มีความสำคัญต่อการจัดการระบบฐานข้อมูล (DBMS) ทั้งนี้เนื่องจากข้อมูลที่อยู่ภายในฐานข้อมูลจะต้องศึกษาถึงความสัมพันธ์ของ ข้อมูล โครงสร้างของข้อมูลการเข้าถึงข้อมูลและกระบวนการที่โปรแกรมประยุกต์จะเรียก ใช้ฐานข้อมูล ดังนั้น เราจึงสามารถแบ่งวิธีการสร้างฐานข้อมูลได้ 3 ประเภท
1. รูปแบบข้อมูลแบบลำดับขั้น หรือโครงสร้างแบบลำดับขั้น (Hierarchical data model) วิธีการสร้างฐาน ข้อมูลแบบลำดับขั้นถูกพัฒนาโดยบริษัท ไอบีเอ็ม จำกัด ในปี 1980 ได้รับความนิยมมาก ในการพัฒนาฐานข้อมูลบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่และขนาดกลาง โดยที่โครงสร้างข้อมูลจะสร้างรูปแบบเหมือนต้นไม้ โดยความสัมพันธ์เป็นแบบหนึ่งต่อหลาย (One- to -Many)
2. รูปแบบข้อมูลแบบเครือข่าย (Network data Model) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายมีความคล้ายคลึงกับฐาน ข้อมูลแบบลำดับชั้น ต่างกันที่โครงสร้างแบบเครือข่าย อาจจะมีการติดต่อหลายต่อหนึ่ง (Many-to-one) หรือ หลายต่อหลาย (Many-to-many) กล่าวคือลูก (Child) อาจมีพ่อแม่ (Parent) มากกว่าหนึ่ง สำหรับตัวอย่างฐานข้อมูลแบบเครือข่ายให้ลองพิจารณาการจัดการข้อมูลของห้อง สมุด ซึ่งรายการจะประกอบด้วย ชื่อเรื่อง ผู้แต่ง สำนักพิมพ์ ที่อยู่ ประเภท
3. รูปแบบความสัมพันธ์ข้อมูล (Relation data model) เป็นลักษณะการออกแบบฐานข้อมูลโดยจัดข้อมูลให้อยู่ในรูปของตารางที่มีระบบคล้ายแฟ้ม โดยที่ข้อมูลแต่ละแถว (Row) ของตารางจะแทนเรคอร์ด (Record) ส่วน ข้อมูลนแนวดิ่งจะแทนคอลัมน์ (Column) ซึ่งเป็นขอบเขตของข้อมูล (Field) โดยที่ตารางแต่ละตารางที่สร้างขึ้นจะเป็นอิสระ ดังนั้นผู้ออกแบบฐานข้อมูลจะต้องมีการวางแผนถึงตารางข้อมูลที่จำเป็นต้องใช้ เช่นระบบฐานข้อมูลบริษัทแห่งหนึ่ง ประกอบด้วย ตารางประวัติพนักงาน ตารางแผนกและตารางข้อมูลโครงการ แสดงประวัติพนักงาน ตารางแผนก และตารางข้อมูลโครงการ

การออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์

      การออกแบบฐานข้อมูลในองค์กรขนาดเล็กเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้งาน อาจเป็นเรื่องที่ไม่ยุ่งยากนัก เนื่องจากระบบและขั้นตอนการทำงานภายในองค์กรไม่ซับซ้อน ปริมาณข้อมูลที่มีก็ไม่มาก และจำนวนผู้ใช้งานฐานข้อมูลก็มีเพียงไม่กี่คน หากทว่าในองค์กรขนาดใหญ่ ซึ่งมีระบบและขั้นตอนการทำงานที่ซับซ้อน รวมทั้งมีปริมาณข้อมูลและผู้ใช้งานจำนวนมาก การออกแบบฐานข้อมูลจะเป็นเรื่องที่มีความละเอียดซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานพอควรทีเดียว ทั้งนี้ ฐานข้อมูลที่ได้รับการออกแบบอย่างเหมาะสมจะสามารถตอบสนองต่อความต้องการของ ผู้ใช้งานภายในหน่วยงานต่าง ๆ ขององค์กรได้ ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานขององค์กรมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น เป็นผลตอบแทนที่คุ้มค่าต่อการลงทุนเพื่อพัฒนาระบบฐานข้อมูลภายในองค์กรทั้ง นี้ การออกแบบฐานข้อมูลที่นำซอฟต์แวร์ระบบจัดการฐานข้อมูลมาช่วยในการดำเนินการ สามารถจำแนกหลักในการดำเนินการได้ 6 ขั้นตอน คือ
         1.การรวบรวมและวิเคราะห์ความต้องการในการใช้ข้อมูล
         2.การเลือกระบบจัดการฐานข้อมูล
         3.การออกแบบฐานข้อมูลในระดับแนวคิด
         4.การนำฐานข้อมูลที่ออกแบบในระดับแนวคิดเข้าสู่ระบบจัดการฐานข้อมูล
         5.การออกแบบฐานข้อมูลในระดับกายภาพ
         6.การนำฐานข้อมูลไปใช้และการประเมินผล

การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ

         การออกแบบฐานข้อมูลในระดับตรรกะ หรือในระดับแนวความคิด เป็นขั้นตอนการออกแบบความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูลในระบบโดยใช้แบบจำลองข้อมูล เชิงสัมพันธ์ ซึ่งอธิบายโดยใช้แผนภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างข้อมูล (E-R Diagram) จากแผนภาพ E-R Diagram นำมาสร้างเป็นตารางข้อมูล (Mapping E-R Diagram to Relation) และใช้ทฤษฏีการ Normalization เพื่อเป็นการรับประกันว่าข้อมูลมีความซ้ำซ้อนกันน้อยที่สุด ซึ่งการออกแบบเชิงตรรกะนี้จะบอกถึงรายละเอียดของ Relation , Attribute และ Entity

ทำใบปลิวโฆษณาด้วยโปรแกรม Word 2007

 

ทำใบปลิวโฆษณาด้วยโปรแกรม Word 2007 ให้เพื่อนๆๆลองศึกษาจากวิดีโอนี้น่ะค่ะ 
  




วิธีการทำแผ่นพับง่ายๆ

..  วิธีการทำแผ่นพับใน Microsrof word

> สร้างหน้าเอกสารเปล่า ๆ 2 หน้า
........ > ตั้งค่าหน้ากระดาษเป็นแนวนอน นะครับ สำหรับคนที่ยังไม่รู้ว่าตั้งค่าหน้ากระดาษตรงไหน ก็ให้ไปที่ แถบเมนู แล้วคลิ๊กที่ 
แฟ้ม >>> ตั้งค่าหน้ากระดาษ >>> เลือกเป็นแนวนอน
ส่วนการตั้งระยะขอบ บน กับ ล่าง ไม่มีความสำคัญมากนักนะครับ เราจะเน้นที่ซ้าย กับ ขวา โดย ซ้ายกับขวานี่สำคัญมากนะครับจะลงตัวหรือไม่ก็อยู่ที่ตรงนี้แหละโดยในที่นี้ผมจะตั้งไว้ 0.5 นิ้ว แล้วก็ O.K ไปก่อนครับ


.....http://www.dek-ac.com/knowledge-id8.html
...
 > 
การตั้งค่าหน้ากระดาษเราสามารถเลือกเป็น เซนติเมตร หรือว่าเป็นนิ้วก็ได้ โดยไปที่ เครื่องมือ ตัวเลือก ทั่วไป ตรงที่หน่วยการวัด เราสามารถเปลี่ยนเป็นนิ้วหรือเซนติเมตรได้
........ > เสร็จแล้วให้ไปที่ แถบเครื่องมือ เลือก รูปแบบ คอลัมน์ แล้ว คลิ๊ก ค่าที่ตั้งไว้ เลือกเป็น สาม ระยะห่าง เลือกเป็น 1 อย่าลืมติ๊กเครื่องหมายถูกตรงที่ ความกว้าของคอลัมน์เท่ากัน แล้วก็ ตกลงเลยครับ
 

........ > ในส่วนตรงนี้ขออธิบายเพิ่มเติมอีกนิดนะครับ คือว่าในส่วนที่ผมตั้ง ซ้าย ขวา ให้เป็น 0.5 นิ้ว และมาตั้ง ตรงระยะห่าง 1 นิ้ว นี่ก็เพราะว่ามันเป็นสัดส่วนของมันนะครับ ส่วนใครจะตั้งค่านอกจากนี้ก็ได้ แต่ว่าให้อยู่ตามเกณฑ์นี้นะครับ *** ระยะห่าง จะกว้างเป็น สองเท่าของขอบ *** อย่างเช่นเราตั้งขอบ ซ้ายขวา ไว้ 0.25 นิ้ว ระยะห่าง ก็จะเท่ากับ 0.5 นิ้ว  บทความโดย เด็กเอซี

........ > ในเรื่องของการลงเนื้อหาของแผ่นพับนั้นหน้าแรกของแผ่นพับนั้นจะต้องไปเริ่มพิมพ์ที่คอลัมน์ที่ 3 (หมายเลข 1) ของ แผ่นแรก แล้วก็ใส่เนื้อหาลงไปเรื่อย ๆ จนหมดแผ่นที่สอง พอหมดแผ่นที่สองแล้วให้มาเริ่มพิมพ์ที่แผ่นแรกต่อเลยโดยเริ่มจากคอลัมน์แรก แล้วก็ต่อไปจนถึงคอลัมน์ ที่ 2 คอลัมน์ที่สองของแผ่นแรกนั้นจะเป็นด้านหลังสุดของแผ่นพับ ถ้าใครทำถูก เนื้อหาในส่วนแรกกับส่วนสุดท้ายจะมาอยู่ใกล้กัน ในที่นี้ก็คือ คอลัมน์ 2 (หมายเลข 6) กับ 3 (หมายเลข 1) นะครับ ถ้าไม่เข้าใจก็ ดูตามรูปข้างล่างนะครับ



ตัวอย่างที่ 1 : http://www.ziddu.com/download/11739275/ex_word_dek-ac.com.doc.html
  หลายคนทำได้ เรื่องแผ่นพับนี้ แต่หลายคนยังงง ขอให้ทำได้ทุกคนนะคร๊าบ

การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

  การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์

ความหมาย
         Electronic Commerce หรือ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง การทำธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริหาร การโฆษณาสินค้า การโอนเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น จุดเด่นของ E-Commerce คือ ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่ม ประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ โดยลดความสำคัญขององค์ประกอบของธุรกิจที่มองเห็นจับต้องได้ เช่นอาคารที่ทำการ ห้องจัดแสดงสินค้า (show room) คลังสินค้า พนักงานขายและพนักงานให้บริการต้อนรับลูกค้า เป็นต้น ดังนั้นข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์คือ ระยะทางและเวลาทำการแตกต่างกัน จึงไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจอีกต่อไป
อุปกรณ์และวิธีการทำ E-commerce
         อุปกรณ์เทคโนโลยีสารสนเทศประกอบด้วย ระบบสื่อสารโทรคมนาคม ระบบคอมพิวเตอร์และระบบฐานข้อมูล ระบบสื่อสารอาจเป็นระบบพื้นฐานทั่วไป เช่นระบบโทรศัพท์ โทรสาร หรือวิทยุ โทรทัศน์ แต่ระบบอินเทอร์เน็ตซึ่งเชื่อมโยงถึงกันได้ทั่วโลก เป็นระบบเปิดกว้าง โดยเป็นระบบเครือข่ายของเครือข่าย ที่เรียกว่า world wide web มาจากความเป็นเอกลักษณ์คือสามารถสร้างให้มี hyperlink จากหน้าหนึ่งไปอีกหน้าหนึ่ง ไป webpage อื่น หรือไป website อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังสามารถสื่อได้ทั้งภาพ เสียง และภาษาหนังสือที่หลากหลายซับซ้อน สามารถมีปฏิสัมพันธ์โต้ตอบกันได้ทันทีทันใด ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์สามารถบันทึกเก็บไว้หรือนำใช้ต่อเนื่องได้ การประยุกต์ใช้ และกระแสตอบรับธุรกิจบนอินเทอร์เน็ตจึงแพร่หลายภายในระยะเวลาอันสั้น
         E-Commerce ใช้ติดต่อกับลูกค้าได้หลายระดับ ธุรกิจกับลูกค้า ธุรกิจกับธุรกิจ ธุรกิจกับภาครัฐ ฯ สาระของการติดต่อจะมี 4-5 ประการ คือ


  • การขาย รวมการโฆษณา แสดงสินค้า เสนอราคา สั่งซื้อ คำนวณราคา
  • การชำระเงิน การตกลงวิธีชำระเงิน สั่งโอนเงิน ให้ข้อมูลบัญชีธนาคารที่ใช้ตัดบัญชี ตลอดจนเงินดิจิทัลรูปแบบใหม่ ๆ
  • การขนส่ง แจ้งวิธีการส่งมอบของ ค่าขนส่ง และสถานที่ติดต่อและระบบติดตามสินค้าที่ส่ง
  • บริการหลังการขาย การติดต่อภายในบริษัท เช่นระบบบัญชี คลังสินค้า ระบบสั่งซื้อสินค้าและวัตถุดิบ สั่งผลิต ตลอดจนบริการลูกค้าหลังการขาย
บทบาทภาครัฐกับ E-Commerce
        เนื่องจากการ ทำธุรกิจดังกล่าวมีการแข่งขันกันร้อนแรง ส่วนใหญ่อยู่ในรูปข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ โดยเป็นไปได้ที่คู่ค้าอาจไม่เคยรู้จักติดต่อกันมาก่อน ปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากภาครัฐได้แก่ แผนกลยุทธ์การค้าอิเล็กทรอนิกส์ของประเทศ เพื่อมิให้เสียเปรียบเชิงการค้าในระดับโลก โครงสร้างการสื่อสารที่ดีและเพียงพอ กฎหมายรองรับข้อมูลและหลักฐานการค้าที่ไม่อยู่ในรูปเอกสาร ระบบความปลอดภัยข้อมูลบนเครือข่ายและระบบการชำระเงิน
        E-Government เป็นอีกมิติหนึ่งของการให้บริการภาครัฐออนไลน์ที่จะเอื้อให้ธุรกิจ ประชาชน ติดต่อใช้บริการ ในกรอบบริการงานแต่ละด้านของส่วนราชการต่าง ๆ เช่น ธนาคารแห่งประเทศไทยให้
บริการโอนเงินอิเล็กทรอนิกส์แก่ส ถาบันการเงิน กรมทะเบียนการค้าให้บริการจดทะเบียนการค้า เป็นต้น นอกจากนี้ การทำ E-Procurement เพื่อการจัดซื้อจัดหาภาครัฐก็เป็นบริการที่ควรดำเนินการ เพราะจะช่วยให้เกิดความโปร่งใส และเป็นไปตามกรอบนโยบายของที่ประชุมเอเปคด้วย

ความปลอดภัยกับ E-Commerce
        ระบบความปลอดภัยนับเป็นเรื่องที่โดดเด่นที่สุด และมีเทคโนโลยีความปลอดภัยคือ Public Key ซึ่งมีองค์กรรับรองความถูกต้องเรียกว่า CA (Certification Authority) ระบบนี้ใช้หลักคณิตศาสตร์คำนวณรหัสคุมข้อความจากผู้ส่งและผู้รับอย่างเฉพาะ เจาะจงได้ จึงสามารถพิสูจน์ตัวตนของผู้รับผู้ส่ง (Authentication) รักษาความปลอดภัยของข้อมูล (Confidentiality) ความถูกต้องไม่คลาดเคลื่อนของข้อมูล (Integrity) และผู้ส่งปฏิเสธความเป็นเจ้าของข้อมูลไม่ได้ (Non-repudiation) เรียกว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Signature)
         ที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือการมีกฎหมายรองรับการทำธุรกรรมบนเครือข่าย ประเทศในยุโรปและประเทศสหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมายรับรองการใช้ลายมือชื่อ อิเล็กทรอนิกส์ และกฎหมายรองรับการทำธุรกิจดังกล่าว สำหรับในประเทศไทยก็เร่งจัดการออกกฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ 6 ฉบับ โดยกฎหมาย 2 ฉบับแรกที่จะออกใช้ได้ก่อนคือ กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์และกฎหมายลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์
การชำระเงินบน E-Commerce
         จากผลการวิจัยพบว่า วิธีการชำระเงินที่สำคัญสำหรับกรณีธุรกิจกับธุรกิจ ร้อยละ 70 ใช้วิธีหักบัญชีธนาคาร ขณะที่ ธุรกิจกับผู้บริโภคร้อยละ 65 ชำระด้วยบัตรเครดิต
         สำหรับในประเทศไทย... ผลการสำรวจพบว่าผู้สั่งสินค้าบนอินเทอร์เน็ตร้อยละ 40-60 ใช้บัตรเครดิต อีกร้อยละ 40 ใช้วิธีโอนเงินในบัญชี ซึ่งหมายความรวมถึง Direct Debit, Debit Card และ Fund Transfer
เพื่อ... สร้างความเชื่อมั่นแก่ระบบการชำระเงินบนอินเทอร์เน็ต มีแนวทางการพัฒนาเพื่อบริการชำระเงินดังนี้
         1. บริการ internet banking และ/หรือธุรกิจประเภท Payment Gateway จะเป็น hyperlink ระหว่าง website ของร้านค้ากับระบบของธนาคาร และธนาคารสามารถดำเนินการตามข้อมูลที่ได้รับเพื่อตัดโอนเงินในบัญชีของ ลูกค้า หรือส่งเป็นคำสั่งโอนเข้าระบบการชำระเงินระหว่างธนาคารที่มีมาตรการรักษา ความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน
         2. สำหรับการชำระเงินที่เป็น Micro Payment การใช้เงินดิจิทัลซึ่งบันทึกบนบัตรสมาร์ตการ์ด หรือเครื่องคอมพิวเตอร์ สามารถสร้างเสริมระบบความปลอดภัยให้มั่นใจได้เหนือกว่าระบบบัตรเดบิตและบัตร เครดิตทั่วไป จึงเป็นแนวโน้มเทคโนโลยีที่น่าสนใจและเหมาะสม

คู่มือการใช้งาน Windows Xp

System Restore ของวินโดวส


ปกติทั้ง Windows XP  จะมีเครืองมือชื่อ System Restore มาให้  โดยจะทำหน้าที่ในการแบ็กอัพและเรียกข้อมูลกลับคืนมา เกี่ยวกับการทำงานของ Windows และไฟล์แอพพลิเคชันต่างๆ ที่ติดตั้งในระบบ   ซึ่งจะทำงานเองโดยอัตโนมัติ
หรือหากผู้ใช้ต้องการตั้งค่าการทำงานเองก็ได้ เช่นกัน   เมื่อเราต้องการเรียกคืนสถานภาพการทำงานในช่วงเวลาก่อนหน้านี้ให้กับระบบก็ สามารถทำได้ด้วยการเลือกวันที่ต้องการย้อนกลับไป และนี่คือหน้าที่ของ System Restore ของ Windows
System Restore จะสามารถสร้างจุดในการเรียกคืนระบบ (restore point) ได้หลายวิธีด้วยกัน ซึ่ง ปกติจะมีการสร้างข้อมูลที่ใช้ในการเรียกคืนระบบทุกๆ 24 ชั่วโมงในกรณีที่คอมพิวเตอร์เปิดทำงาน ตลอดเวลา แต่ถ้าเครื่องคอมพ์ปิดอยู่ การทำ restore point จะถูกสร้างขึ้นเมื่อเปิดเครื่องขึ้นทำงาน  นอกจากนี้ restore point ยังอาจถูกสร้างขึ้นตอนที่มีการติดตั้งโปรแกรม หรือติดตั้งอุปกรณ์ใหม่เพิ่มเข้าไป  อย่างไรก็ดี เราสามารถสร้าง restore point เองได้    

ขั้นตอนการเรียกใช้งาน
1.   เข้าไปที่เมนู Start-> Accessories-> System Tools -> System Restore

2.  หน้าต่างของโปรแกรม System Restore จะมีรายการให้เลือก 4 ข้อ 
  • System Restore Settings
  • Restore my computer to an earlier time
  • Create a restore point
  • Undo my last restoration  (รายการนี้จะปรากฎเมื่อเคย Restore system ไปแล้ว)
System Restore Settings

เพื่อกำหนดการปิด/เปิด System Restore และกำหนดขนาดพื้นที่ของไดรส์ต่าง ๆ สำหรับให้โปรแกรม System Restore
                ที่หน้าต่าง System Properties
  • ถ้าต้องการปิดการทำงานของ System Restore ให้เลือกที่ช่อง Turn off System Restore  on all drives
    แล้วกด OK
  • ถ้าต้องการกำหนดขนาดพื้นที่ของไดรส์ต่าง ๆ สำหรับให้โปรแกรม System Restore ใช้งานได้ด้วยตนเอง
    ให้กดปุ่ม Setting  โดยขนาดที่เซตนั้น หากฮาร์ดดิสก์มีความจุเหลือไม่มากนัก ก็ไม่ควรเลื่อนแถบไปถึงระดับ Max
          Restore my computer to an earlier time
เพื่อต้องการ Restore โปรแกรม
  • จะปรากฎหน้าต่าง Select a Restore Point  ให้เลือกจุดหรือตำแหน่งตามวันเวลาที่ระบบได้เซตให้อัตโนมัติ
    ซึ่งสามารถเลือก Restore ได้ตามต้องการ  สำหรับช่องทางขวามือนั้น  หากเราได้ติดตั้งโปรแกรมหรือมีการลบ
    โปรแกรมออกไปในช่วงวันเวลาใดละก็ มันจะถูกแสดงให้ดูด้วยเพื่อให้คุณตัดสอนใจว่าต้องการ Restore ระบบ
    ในช่วงวันเวลานี้หรือไม่  จากนั้นให้กดปุ่ม Next
  • จะปรากฎหน้าต่าง Confirm Restore Point Selection เพื่อยืนยันการ Restore ให้กดปุ่ม Next  จากนั้น
    ก็จะทำการ Restore ระบบและ Restart เครื่องใหม่


                Create a restore point
เพื่อต้องการกำหนดตำแหน่งคืนข้อมูลล่าสุด (Create a Restore Point)   ซึ่งหากคุณได้ใช้งานวินโดวส์ไปบ้างแล้ว ระบบจะแบ็กอัพไฟล์ข้อมูลที่สำคัญให้เป็นระยะๆ โดยอัตโนมัติ
                - ที่หน้าต่าง Create a Restore Point  ให้ใส่คำอธิบาย ในช่อง Restore Point Description จากนั้นกดปุ่ม Create

Undo my last restoration  (รายการนี้จะปรากฎเมื่อเคย Restore system ไปแล้ว)
เพื่อต้องการยกเลิกการทำ Restore system ครั้งที่ได้ทำไปก่อนหน้านี้



                ข้อจำกัดของ System Restore
System Restore ช่วยผู้ใช้งานให้สามารถกู้ระบบบางอย่าง โดยเฉพาะรีจิสตรี้ ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม ในกรณีที่ เกิดปัญหาขึ้นมา โดยเหมือนย้อนเวลากลับไปตอนที่ระบบยังไม่เกิดปัญหา...  แต่ระบบนี้ก็เหมือนกับดาบสองคมเพราะว่าเวลาที่เราประสบปัญหากับไวรัส หรือโปรแกรมที่ไม่ปราถนาดีกับเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา หากเราเปิดระบบนี้ทิ้งไว้ เวลาที่เรากำจัดไวรัสไปแล้ว มีโอกาสเป็นไปได้ที่ System Restore นี้จะย้อนเวลากู้เอาพวกรีจิสตรี้ที่ไวรัส หรือโปรแกรมที่
ไม่ปราถนาดีเหล่านั้น กลับคืนมา

1.System Restore มีจุดอ่อนอยู่เหมือนกัน ซึ่งปกติ Windows จะกันพื้นที่ไว้ให้ประมาณ 12% ของ ฮาร์ดดิสก์ สำหรับการสำรองข้อมูล   อย่างไรก็ดีเราสามารถลดพื้นที่ได้โดยเข้าไปที่ System Properties (คลิ้กขวา บนไอคอน My Computer เลือก Properties หรือกดปุ่ม Windows + Pause/Break) แล้ว คลิ้กแท็บ System Restore เลื่อนสไลด์ไปทางซ้าย เพื่อลดขนาดของการทำ Restore  เช่น ลงเหลือ 3 – 5%
2.เราไม่สามารถใช้ System Restore แทนการทำแบ็คอัพข้อมูลได้ เช่น ถ้าลบไฟล์ข้อมูลไป
System Restore จะไม่สามารถเรียกคืนได้  ในทางกลับกัน เวลารัน System Restore ก็จะไม่ไปลบ หรือ แก้ไขไฟล์ข้อมูลแต่อย่างใด

3.ถ้า Windows ติดไวรัส ก็จะทำการแบ็กอัพไวรัสเก็บไว้ด้วย  ถึงแม้ว่าเราจะ Clean ไวรัส หมดแล้ว
และหากเราเรียกข้อมูลกลับคืนมา      ไวรัสก็จะกลับมาอีก ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว

ระบบสารสนเทศ


ระบบสารสนเทศ (Information system) 

                ระบบสารสนเทศ (Information system) หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วยส่วนต่างๆ ได้แก่ ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งฮาร์ดแวร์  ซอฟท์แวร์  ระบบเครือข่าย  ฐานข้อมูล  ผู้พัฒนาระบบ ผู้ใช้ระบบ  พนักงานที่เกี่ยวข้อง และ ผู้เชี่ยวชาญในสาขา  ทุกองค์ประกอบนี้ทำงานร่วมกันเพื่อกำหนด  รวบรวม จัดเก็บข้อมูล  ประมวลผลข้อมูลเพื่อสร้างสารสนเทศ และส่งผลลัพธ์หรือสารสนเทศที่ได้ให้ผู้ใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการทำงาน การตัดสินใจ  การวางแผน  การบริหาร การควบคุม  การวิเคราะห์และติดตามผลการดำเนินงานขององค์กร (สุชาดา กีระนันทน์, 2541)

            ระบบสารสนเทศ หมายถึง ชุดขององค์ประกอบที่ทำหน้าที่รวบรวม  ประมวลผล จัดเก็บ และแจกจ่ายสารสนเทศ เพื่อช่วยการตัดสินใจ และการควบคุมในองค์กร  ในการทำงานของระบบสารสนเทศประกอบไปด้วยกิจกรรม 3 อย่าง คือ การนำข้อมูลเข้าสู่ระบบ (Input)  การประมวลผล (Processing)  และ การนำเสนอผลลัพธ์ (Output)  ระบบสารสนเทศอาจจะมีการสะท้อนกลับ (Feedback) เพื่อการประเมินและปรับปรุงข้อมูลนำเข้า  ระบบสารสนเทศอาจจะเป็นระบบที่ประมวลด้วยมือ(Manual) หรือระบบที่ใช้คอมพิวเตอร์ก็ได้ (Computer-based information system –CBIS) (Laudon & Laudon, 2001) 
แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมื่อกล่าวถึงระบบสารสนเทศ มักจะหมายถึงระบบที่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์และระบบโทรคมนาคม
           
            ระบบสารสนเทศ  หมายถึง ระบบคอมพิวเตอร์ที่จัดเก็บข้อมูล และประมวลผลเป็นสารสนเทศ และระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ต้องอาศัยฐานข้อมูล  (CIS 105 -- Survey of Computer Information Systems, n.d.)
             ระบบสารสนเทศ  หมายถึง ชุดของกระบวนการ บุคคล และเครื่องมือ ที่จะเปลี่ยนข้อมูลให้เป็นสารสนเทศ  (FAO Corporate Document Repository, 1998)  ระบบสารสนเทศ ไม่ว่าจะเป็นระบบมือหรือระบบอัตโนมัติ หมายถึง ระบบที่ประกอบด้วย คน เครื่องจักรกล(machine)  และวิธีการในการเก็บข้อมูล   ประมวลผลข้อมูล  และเผยแพร่ข้อมูล ให้อยู่ในลักษณะของสารสนเทศของผู้ใช้ (Information system, 2005)

สรุป ได้ว่า ระบบสารสนเทศ ก็คือ ระบบของการจัดเก็บ ประมวลผลข้อมูล โดยอาศัยบุคคลและเทคโนโลยีสารสนเทศในการดำเนินการ เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เหมาะสมกับงานหรือภารกิจแต่ละอย่าง 

Laudon & Laudon (2001)  ยังอธิบายว่าในมิติทางธุรกิจ ระบบสารสนเทศเป็นระบบที่ช่วยแก้ปัญหาการจัดการขององค์กร ซึ่งถูกท้าทายจากสิ่งแวดล้อม  ดังนั้นการใช้ระบบสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ จำเป็นที่จะต้องเข้าใจองค์กร(Organzations)   การจัดการ (management)  และเทคโนโลยี (Technology)

ประเภทของระบบสารสนเทศ

             ปัจจุบันจะเห็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์กร กับระบบสารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศชัดเจนมากขึ้น  และเนื่องจากการบริหารงานในองค์กรมีหลายระดับ  กิจกรรมขององค์กรแต่ละประเภทอาจจะแตกต่างกัน  ดังนั้นระบบสารสนเทศของแต่ละองค์กรอาจแบ่งประเภทแตกต่างกันออกไป 
(สุชาดา กีระนันทน์, 2541) 

ถ้าพิจารณาจำแนกระบบสารสนเทศตามการสนับสนุนระดับการทำงานในองค์กร   จะแบ่งระบบสารสนเทศได้เป็น 4 ประเภท  ดังนี้ (Laudon & Laudon, 2001)

1.     ระบบสารสนเทศสำหรับระดับผู้ปฏิบัติงาน (Operational – level systems)   ช่วยสนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงานในส่วนปฏิบัติงานพื้นฐานและงานทำรายการต่างๆขององค์กร เช่นใบเสร็จรับเงิน  รายการขาย  การควบคุมวัสดุของหน่วยงาน เป็นต้น  วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยการดำเนินงานประจำแต่ละวัน และควบคุมรายการข้อมูลที่เกิดขึ้น

2.     ระบบสารสนเทศสำหรับผู้ชำนาญการ (Knowledge-level systems)  ระบบนี้สนับสนุนผู้ทำงานที่มีความรู้เกี่ยวข้องกับข้อมูล   วัตถุประสงค์หลักของระบบนี้ก็เพื่อช่วยให้มีการนำความรู้ใหม่มาใช้ และช่วยควบคุมการไหลเวียนของงานเอกสารขององค์กร

3.      ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Management - level systems)  เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยในการตรวจสอบ   การควบคุม การตัดสินใจ และการบริหารงานของผู้บริหารระดับกลางขององค์กร

4.     ระบบสารสนเทศระดับกลยุทธ์ (Strategic-level system)   เป็นระบบสารสนเทศที่ช่วยการบริหารระดับสูง ช่วยในการสนับสนุนการวางแผนระยะยาว  หลักการของระบบคือต้องจัดความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดล้อมภายนอกกับความสามารถภายในที่องค์กรมี เช่นในอีก
                 5 ปีข้างหน้า องค์กรจะผลิตสินค้าใด

            สุชาดา กีระนันทน์ (2541)และ Laudon & Laudon (2001) ได้แบ่งประเภทของระบบสารสนเทศที่สนับสนุนการทำงานของผู้ปฏิบัติงาน/ผู้บริหารระดับต่างๆไว้  ดังนี้





ประเภทของระบบสารสนเทศ
(สุชาดา กีระนันทน์, 2541)
ประเภทของระบบสารสนเทศ
(Laudon & Laudon, 2001)
1. ระบบประมวลผลรายการ
(Transaction Processing Systems)
1.  Transaction Processing System - TPS
2. ระบบสำนักงานอัตโนมัติ
(Office Automation Systems)
2. Knowledge Work -KWS  and office 
    Systems
3. ระบบงานสร้างความรู้ 
(Knowledge Work Systems)
4. ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ
 (Management Information Systems)
3. Management Information Systems - MIS
5. ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ
 (Decision Support Systems)
4. Decision Support Systems - DSS
6. ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง
 (Executive Information Systems)
5. Executive Support  System - ESS

1.     ระบบประมวลผลรายการ (Transaction Processing Systems - TPS)  เป็นระบบที่ทำหน้าที่ในการปฏิบัติงานประจำ ทำการบันทึกจัดเก็บ  ประมวลผลรายการที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน  โดยใช้ระบบคอมพิวเตอร์ทำงานแทนการทำงานด้วยมือ  ทั้งนี้เพื่อที่จะทำการสรุปข้อมูลเพื่อสร้างเป็นสารสนเทศ  ระบบประมวลผลรายการนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นระบบที่เชื่อมโยงกิจการกับลูกค้า ตัวอย่าง เช่น ระบบการจองบัตรโดยสารเครื่องบิน  ระบบการฝากถอนเงินอัตโนมัติ เป็นต้น  ในระบบต้องสร้างฐานข้อมูลที่จำเป็น  ระบบนี้มักจัดทำเพื่อสนองความต้องการของผู้บริหารระดับต้นเป็นส่วนใหญ่เพื่อให้สามารถปฏิบัติงานประจำได้  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักจะอยู่ในรูปของ รายงานที่มีรายละเอียด  รายงานผลเบื้องต้น

2.     ระบบสำนักงานอัตโนมัติ (Office Automation Systems- OAS)  เป็นระบบที่สนับสนุนงานในสำนักงาน หรืองานธุรการของหน่วยงาน ระบบจะประสานการทำงานของบุคลากรรวมทั้งกับบุคคลภายนอก หรือหน่วยงานอื่น  ระบบนี้จะเกี่ยวข้องกับการจัดการเอกสาร โดยการใช้ซอฟท์แวร์ด้านการพิมพ์  การติดต่อผ่านระบบไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์  เป็นต้นผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของเอกสาร  กำหนดการ  สิ่งพิมพ์ 

3.     ระบบงานสร้างความรู้  (Knowledge Work Systems - KWS)  เป็นระบบที่ช่วยสนับสนุน
บุคลากรที่ทำงานด้านการสร้างความรู้เพื่อพัฒนาการคิดค้น สร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  บริการใหม่ ความรู้ใหม่เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในหน่วยงาน  หน่วยงานต้องนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาสนับสนุนให้การพัฒนาเกิดขึ้นได้โดยสะดวก สามารถแข่งขันได้ทั้งในด้านเวลา คุณภาพ และราคา  ระบบต้องอาศัยแบบจำลองที่สร้างขึ้น  ตลอดจนการทดลองการผลิตหรือดำเนินการ ก่อนที่จะนำเข้ามาดำเนินการจริงในธุรกิจ  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของ สิ่งประดิษฐ์  ตัวแบบ  รูปแบบ เป็นต้น

4.     ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ  (Management Information Systems- MIS)  เป็นระบบสารสนเทศสำหรับผู้ปฏิบัติงานระดับกลาง  ใช้ในการวางแผน  การบริหารจัดการ และการควบคุม  ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลที่มีอยู่ในระบบประมวลผลรายการเข้าด้วยกัน  เพื่อประมวลและสร้างสารสนเทศที่เหมาะสมและจำเป็นต่อการบริหารงาน  ตัวอย่าง เช่น ระบบบริหารงานบุคลากร  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของรายงานสรุป  รายงานของสิ่งผิดปกติ

5.     ระบบสนับสนุนการตัดสินใจ  (Decision Support Systems – DSS)  เป็นระบบที่ช่วยผู้บริหารในการตัดสินใจสำหรับปัญหา หรือที่มีโครงสร้างหรือขั้นตอนในการหาคำตอบที่แน่นอนเพียงบางส่วน  ข้อมูลที่ใช้ต้องอาศัยทั้งข้อมูลภายในกิจการและภายนอกกิจการประกอบกัน  ระบบยังต้องสามารถเสนอทางเลือกให้ผู้บริหารพิจารณา เพื่อเลือกทางเลือกที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์นั้น  หลัก การของระบบ สร้างขึ้นจากแนวคิดของการใช้คอมพิวเตอร์ช่วยการตัดสินใจ โดยให้ผู้ใช้โต้ตอบโดยตรงกับระบบ ทำให้สามารถวิเคราะห์ ปรับเปลี่ยนเงื่อนไขและกระบวนการพิจารณาได้ โดยอาศัยประสบการณ์ และ ความสามารถของผู้บริหารเอง  ผู้ บริหารอาจกำหนดเงื่อนไขและทำการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขต่างๆ ไปจนกระทั่งพบสถานการณ์ที่เหมาะสมที่สุด แล้วใช้เป็นสารสนเทศที่ช่วยตัดสินใจ  รูปแบบของผลลัพธ์ อาจจะอยู่ในรูปของ รายงานเฉพาะกิจ  รายงานการวิเคราะห์เพื่อตัดสินใจ  การทำนาย หรือ พยากรณ์เหตุการณ์

6.     ระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูง  (Executive Information System - EIS)  เป็นระบบที่สร้างสารสนเทศเชิงกลยุทธ์สำหรับผู้บริหารระดับสูง ซึ่งทำหน้าที่กำหนดแผนระยะยาวและเป้าหมายของกิจการ  สารสนเทศสำหรับผู้บริหารระดับสูงนี้จำเป็นต้องอาศัยข้อมูลภายนอกกิจกรรมเป็นอย่างมาก   ยิ่งในยุคปัจจุบันที่เป็นยุค Globalization  ข้อมูลระดับโลก แนวโน้มระดับสากลเป็นข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการแข่งขันของธุรกิจ  ผลลัพธ์ของระบบนี้ มักอยู่ในรูปของการพยากรณ์/การคาดการณ์ 

ถึงแม้ว่าระบบสารสนเทศจะมีหลายประเภท แต่องค์ประกอบที่จำเป็นของระบบสารสนเทศทุกประเภท ก็คือต้องประกอบด้วยกิจกรรม 3 อย่างตามที่ Laudon & Laudon (2001)ได้กล่าวไว้ คือ ระบบต้องมีการนำเข้าข้อมูล  การประมวลผลข้อมูล และการแสดงผลลัพธ์ของข้อมูล

                 สุชาดา  กีระนันทน์ (2541) สรุปไว้ว่า การพัฒนาระบบสารสนเทศในองค์กรนั้นเป็นสิ่งท้าทายผู้บริหารเป็นอย่างมาก  การที่จะพัฒนาระบบสารสนเทศขึ้นในหน่วยงานเป็นสิ่งที่ผู้บริหารและผู้รับผิดชอบการพัฒนาระบบ ต้องร่วมกันตัดสินใจอย่างรอบคอบ  เพราะการนำระบบสารสนเทศมาใช้อาจจะกระทบต่อกระบวนการดำเนินงานและการบริหารที่เป็นอยู่  หรืออาจจะมีผลก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในองค์กร 

พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ อะไร

เว็บเพจเดิม http://www.thaiall.com/article/ecommerce.htm
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ อะไร
(What is e-Commerce?)
แหล่งอ้างอิง http://www.ecommerce.or.th/newsletter/
แหล่งอ้างอิง http://en.wikipedia.org/wiki/E-commerce
แหล่งอ้างอิง http://www.atii.th.org/html/ecom.html

Oct 6,2007
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (ECRC Thailand,1999)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การผลิต การกระจาย การตลาด การขาย หรือการขนส่งผลิตภัณฑ์ และบริการโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ (WTO,1998)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ขบวนการที่ใช้วิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อทำธุรกิจที่จะบรรลุเป้าหมายขององค์กร พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ใช้เทคโนโลยีประเภทต่าง ๆ และครอบคลุมรูปแบบทางการเงินทั้งหลาย เช่น ธนาคารอิเล็กทรอนิกส์, การค้าอิเล็กทรอนิกส์, อีดีไอหรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์, ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์, โทรสาร, แคตตาล็อคอิเล็กทรอนิกส์, การประชุมทางไกล และรูปแบบต่าง ๆ ที่เป็นข้อมูลระหว่างองค์กร (ESCAP,1998)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ ธุรกรรมทุกรูปแบบที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมเชิงพาณิชย์ ทั้งในระดับองค์กร และส่วนบุคคล บนพื้นฐานของการประมวล และการส่งข้อมูลดิจิทัล ที่มีทั้งข้อความ เสียง และภาพ (OECD,1997)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การค้าขายผ่านทางเครือข่ายอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนวิถีทางการดำรงชีวิตของทุกคน อินเทอร์เน็ต จะเปลี่ยนวิธีการศึกษาหาความรู้ อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนวิธีการทำมาค้าขาย อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนวิธีการหาความสุขสนุกสนาน อินเทอร์เน็ตจะเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง และทุกสิ่งทุกอย่างจะรวมกันเข้ามาหาอินเทอร์เน็ต
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การทำธุรกิจทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งขึ้นอยู่กับการประมวล และการส่งข้อมูลที่มีข้อความ เสียง และภาพ ประเภทของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงการขายสินค้า และบริการด้วยสื่ออิเล็กทรอนิกส์, การขนส่งผลิตภัณฑ์ที่เป็นเนื้อหาข้อมูลแบบดิจิทัลในระบบออนไลน์, การโอนเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์, การจำหน่วยหุ้นทางอิเล็กทรอนิกส์, การประมูล, การออกแบบทางวิศวกรรมร่วมกัน, การจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ, การขายตรง, การให้บริการหลังการขาย ทั้งนี้ใช้กับสินค้า (เช่น สินค้าบริโภค, อุปกรณ์ทางการแพทย์) และบริการ (เช่น บริการขายข้อมูล, บริการด้านการเงิน, บริการด้าน กฎหมาย) รวมทั้งกิจการทั่วไป (เช่น สาธารณสุข, การศึกษา, ศูนย์การค้าเสมือน (Virtual Mall) (European union,1997)
พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (Electronic commerce) หรือ อี-คอมเมิร์ช (E-Commerce) คือ การทำธุรกรรมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ในทุกช่องทางที่เป็นอิเล็กทรอนิกส์ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้
Electronic commerce, commonly known as e-commerce or eCommerce, consists of the buying and selling of products or services over electronic systems such as the Internet and other computer networks. The amount of trade conducted electronically has grown dramatically since the wide introduction of the Internet. A wide variety of commerce is conducted in this way, including things such as electronic funds transfer, supply chain management, e-marketing, online marketing, online transaction processing, electronic data interchange (EDI), automated inventory management systems, and automated data collection systems. Modern electronic commerce typically uses the World Wide Web at at least some point in the transaction's lifecycle, although it can encompass a wide range of technologies such as e-mail as well.

แผนการสอนอีคอมเมิร์ส 6 ชั่วโมง
    หัวข้อ
    
    1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-Commerce
    2. การใช้อินเทอร์เน็ต (Introduction to Internet)
    3. การสร้างเว็บเพจ (Webpage Developing)
    1. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ e-Commerce (ecommerce.ppt)
    - ความหมาย
    - องค์ประกอบ
    - ธุรกิจอีคอมเมิร์สในปัจจุบัน (tarad.ppt) 2. การใช้อินเทอร์เน็ต (Introduction to Internet)
    - Search Engine
    - Free Download, Upload
    - Free Webspace, Homepage, Blog, e-Commerce 3. การสร้างเว็บเพจ (Webpage Developing)
    - Domain Name
    - Webhosting
    - Website, Homepage, Webpage
    google.com, mict.go.th, thnic.net
    http://www.google.com
    http://www.google.co.th/intl/th/about.html
    - Image Retouch : thumbnail, enlarge ด้วย Irfan View 3.51 (iview.ppt)
    - Tools : notepad, paint, dream weaver, photoshop
หัวข้อที่ควรศึกษา
+ Web Server
+ MySQL Server
+ HTML
+ Java Script
+ PHP Script
+ ASP Script
+ Perl Script
+ JSP Script
+ Credit Card
+ การแต่งงาน

ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์
  1. องค์กรที่เกี่ยวข้อง
    1. ศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (ecommerce.or.th)
      ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (nectec.or.th)
    2. กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย (cdd.go.th)
      - สำนักส่งเสริมวิสาหกิจชุมชน กรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย (cep.go.th)
      - OTOP 5 Star โดย กรมการพัฒนาชุมชน (otop5star.com)
    3. คณะกรรมการอำนวยการ หนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ แห่งชาติ (กอ.นตผ) กระทรวงพาณิชย์ (otop.moc.go.th)
    4. ไทยตำบลดอทคอม (thaitambon.com)
  2. 4 P ตามหลักการตลาด ?
    1. สินค้า (Product)
    2. ราคา (Price)
    3. ช่องทางการจัดจำหน่าย (Place)
    4. โฆษณาประชาสัมพันธ์ (Promotion)
  3. การพัฒนาเว็บไซต์พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
    1. พัฒนาโดยคนในองค์กร (In-house)
    2. จ้างบริษัท หรือนักพัฒนาจากภายนอก ตามความต้องการ (Outsource)
    3. ใช้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูป (Template + CMS)
  4. ระดับของเว็บไซต์
    1. Catalog
    2. Shopping cart & e-mail receive order
    3. Payment & Shipment
  5. Information in website
    1. About Us หรือ Company Profile
    2. Contact Us
    3. Products & Services
    4. Payment & Shipment (How to pay and delivery)
    5. Policy
  6. ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น ต่อปี
    1. Domain Name : 360 บาท หรือ $9
    2. Web Hosting : 2000 บาท หรือ $50 (Data Transfer:250GB Space:5GB)
    3. ADSL : 500 บาท * 12 = 6000 บาท
  7. เว็บไซต์สำเร็จรูป e-commerce Price list ของ taradquickweb.com (per year 2550-08-19)
      product แสดงใน tarad.com และ thaisecondhand.com ส่วนระบบชำระเงินรองรับ paysbuy.com (ฟรี)
    1. Free (35 Products)
    2. Bronze 1,880 บาท (100 Products)
    3. Silver 3,900 บาท (Unlimited Products)
    4. Gold ... บาท (Design by order)
  8. เว็บไซต์สำเร็จรูป Price list เว็บไซต์สำเร็จรูปของ readyplanet.com (per year 2550-08-19)
    1. Bronze 3,300 บาท (30 MB CMS=Content Management System)
    2. Silver 8,500 บาท (100 MB CMS + Photo Gallery)
    3. Vela Commerce 9,500 บาท (100 MB e-Commerce=Shopping cart & e-mail receive order)
    4. Gold 18,500 บาท (250 MB Silver + Member Login + e-Commerce)

เว็บไซต์ที่ผู้ขายควรรู้จัก
  1. ebay.com คือ เว็บไซต์ให้บริการการประมูล ซื้อขายทางอินเทอร์เน็ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก การเปิดร้าน สร้างร้าน จัดสต๊อกสินค้า โดยลงทุนต่ำมาก มีผู้ซื้อและผู้ขายทำธุรกรรมจากทั่วโลกตลอด 24 ชั่วโมง สถิติเมื่อสิ้นปี 2548 มียอดซื้อขายเกิดขึ้นจริงเป็นเงินถึง 56,000 ล้านบาท
  2. pramool.com คือ เว็บไซต์ให้บริการประมูลสินค้า เป็นภาษาไทยที่มีคนไทยเข้าใช้มากที่สุดในกลุ่ม Shopping ถึงวันละประมาณ 80,000 UIP
  3. thaiepay.com คือ เว็บไซต์ให้บริการรับชำระเงินจากลูกค้า หรือรับบริจาคจากผู้ใช้บุญ โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อโดยตรงกับธนาคาร
  4. tarad.com คือ เว็บไซต์ให้บริการเปิดร้านค้าได้ฟรี หรือเลือกอัพเกรดในภายหลัง เป็นซ๊อปปิ้งมอลล์ออนไลน์ใหญ่ที่สุดในไทย
  5. readyplanet.com คือ ผู้ให้บริการเว็บไซต์สำเร็จรูปอันดับหนึ่งของไทย เริ่มต้นปีละ 3,300 บาท ?
  6. photobucket.com คือ บริการ upload ภาพ หรือวีดีโอ และนำไปอ้างอิงใน ebay.com หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ได้ง่าย ? (uploadtoday.com, up2box.com, files-upload.com, uphaha.com)
  7. ecommerce.or.th คือ เว็บไซต์ของศูนย์พัฒนาพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ ภายใต้ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (บทโทรทัศน์ 2 นาที)
  8. หนังสือมือสอง
    + betterworld.com
    + abebooks.com
    + half.com

กระบวนการพื้นฐาน (Basic Process)
เกี่ยวกับพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. ลูกค้า เลือกรายการสินค้า ของผู้จำหน่าย (Catalog)
2. ลูกค้า ส่งคำสั่งซื้อ ให้ผู้จำหน่าย (Order)
3. ลูกค้า ชำระเงิน ให้ผู้จำหน่าย (Payment)
4. ลูกค้า รอรับสินค้า จากผู้จำหน่าย (Shipping)

รูปแบบของพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์
1. B-to-B (Business to Business) เป็นการค้าระหว่างองค์กร หรือบริษัท (ปริมาณขายต่อครั้งจะมาก)
2. B-to-C (Business to Consumer) เป็นการค้าจากองค์กร สู่ลูกค้าบุคคล (ค้าส่งขนาดย่อม ประมาณพอประมาณ)
3. C-to-C (Consumer to Consumer) เป็นการค้าระหว่างบุคคล ถึง บุคคล (ค้าปลีก ปกติปริมาณขายจะน้อย)
4. G-to-C (Government to Consumer) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับผู้บริโภค (การให้บริการประชาชน)
5. G-to-B (Government to Business) เป็นการค้าระหว่างภาครัฐ กับองค์กร (ปริมาณการค้ามาก)

ขั้นตอนการเข้าสู่ธุรกิจ e-Commerce 5 ขั้นตอน
เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 28
1. สำรวจโอกาสทางการตลาดด้วยระบบค้นหาข้อมูล (Market Search)
2. วางแผนการตลาด และพัฒนาเว็บเพจ (Planning and Development)
3. นำเว็บเพจเข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต และจัดตั้งเว็บไซต์ (Install)
4. โฆษณา และประชาสัมพันธ์เว็บไซต์ (Promotion)
5. ติดตามผล ปรับปรุง และบำรุงรักษา (Evaluation and Maintainance)
ลักษณะ e-Commerce : ไม่มีพรมแดน, ตัวต่อตัว, ตัดสินใจจากข้อมูล, กิจกรรมผสม, ไปถึงคนทั่วโลก, โต้ตอบทันควัน, ทำได้ 24 ชั่วโมง

ขั้นตอนที่ต้องปฏิบัติ
เพื่อความสำเร็จในการทำ e-Commerce 9 ขั้นตอน

เรียบเรียงจาก e-Commerce และกลยุทธ์การทำเงิน โดย วัชระพงศ์ ยะไวทย์ สำนักพิมพ์ซีเอ็ด หน้า 234
1. แต่งตั้ง คณะกรรมการควบคุมดูแล (Committee) ซึ่งควรจะมี ฝ่ายขาย การตลาด และผู้บริหารที่มีอำนาจตัดสินใจเป็นแกนหลัก
2. วิจัยตลาด (Marget Research) โดยผ่านทางระบบค้นหา เพื่อหาช่องว่าง และโอกาสทางการตลาด
3. กำหนด กลุ่มเป้าหมาย (Marget Target) ที่เราจะขายสินค้าให้ ซึ่งในที่นี้จะเน้นที่กลุ่มที่มีพฤติกรรมที่เหมือนกัน
4. วางแผนกลยุทธ์ (Strategic Planning) ด้านสินค้าว่า จะขายอะไร หรือปรับปรุงอย่างไร ตั้งราคาเท่าใด โดยปรับตามปัจจัย และพฤติกรรมที่ใช้ในการตัดสินใจซื้อของกลุ่มเป้าหมาย และวางกลยุทธิ์การพัฒนาเว็บเพจ หลังจากนั้นมอบหมายให้คณะทำงานอีคอมเมอร์ซที่แต่งตั้งขึ้นมา เพื่อนำไปปฏิบัติการ
5. ทำการ พัฒนาเว็บเพจ (Webpage Developing) ตามที่ได้วางกลยุทธ์ไว้ ซึ่งการจัดรูปแบบจะต้องสอดคล้องกับพฤติกรรมในการตัดสินใจซื้อ
6. ติดตั้ง ระบบอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce System) เลือกระบบตะกร้า และวิธีการจ่ายเงินที่เหมาะสม
7. จดทะเบียนชื่อโดเมน (Domain Name Registration) (อาจจะทำการจดไว้ก่อนตั้งแต่ขึ้นตอนแรก หากกลัวชื่อที่ต้องการหมด และสามารถตกลงกันได้ว่าจะเอาชื่อใด) และนำเว็บเพจที่ออกแบบเสร็จแล้ว เข้าสู่ระบบอินเทอร์เน็ต หรืออัปโหลดขึ้น เว็บเซิร์ฟเวอร์ เสร็จแล้วก็ทำการลงทะเบียนในระบบค้นหา และประชาสัมพันธ์ด้วยวิธี หรือสื่ออื่น
8. ตรวจวัดผลระยะเวลา 1, 3 และ 6 เดือน (Evaluation) เพื่อปรับแต่งจนสอดคล้องกับพฤติกรรม และความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
9. เฝ้าดูแล (Monitor) และปรับปรุงเนื้อหา ตามกำหนดระยะเวลา เช่น ทุกสัปดาห์ หรือทุกเดือน

สิ่งที่ควรมีสำหรับการเปิดร้านบนอินเทอร์เน็ต
เรียบเรียงจาก Computer review ฉบับ 189 เดือนพฤษภาคม 2543
  1. หน้าร้าน และพื้นที่ของร้าน ยิ่งกว้างยิ่งดี (Shop Showing)
  2. ต้องมีตะกร้า ซื้อและคำนวณเงินได้ ก่อนจ่ายจริง (Shopping Cart)
  3. อีเมล์ตอบรับ เมื่อมีผู้สนใจสั่งสินค้า ควรสั่งให้ทั้งลูกค้า และตัวคุณ(E-Mail response)
  4. รับชำระด้วยบัตรเครดิต หลังจากทุกอย่างลงตัว (Credit Card Acception)
  5. สถิติ และรายงาน เห็นความก้าวหน้าของเว็บ (Statistic)
  6. เทมเพลตการออกแบบ ช่วยให้ออกแบบหน้าร้านได้ง่ายขึ้น (Template)
  7. การประชาสัมพันธ์ ต้องถึงกลุ่มลูกค้า (Advertising)

การวางแผนธุรกิจ (Business Plan)
  1. รายละเอียดโครงการ (Profile)
    นำเสนอภาพรวมของโครงการ เช่น วัตถุประสงค์ ความเป็นไปได้ เป้าหมาย และข้อสรุป เป็นต้น
  2. แผนที่เว็บไซต์ (Site Map)
    แสดงการเชื่อมโยงเว็บเพจทั้งหมดอย่างเป็นหมวดหมู่
  3. แผนการทำงาน (Working Plan)
    อธิบายแผนการทำงาน เกี่ยวกับบุคลากร ระบบงานที่สัมพันธ์ กับแผนกต่าง ๆ และแบ่งเป็นช่วงเวลาอย่างชัดเจน
  4. แผนการลงทุน (Investment Plan)
    สรุปแผนที่จะใช้จ่ายเงินในด้านต่าง ๆ ตามช่วงเวลา และรายละเอียดการใช้จ่าย
  5. แผนการเงิน (Financial Plan)
    วางแผนบริหารการเงิน ประกอบด้วยการคำนวณจุดคุ้มทุน งบกำไรขาดทุน งบดุล และกระแสเงินสด
  6. แผนการตลาด (Marketing Plan)
    แผนการตลาดในด้านต่าง ๆ เช่น 4P เป็นต้น

ขั้นตอนการทำ SEO (Search Engine Optimization)
จาก http://www.metalata.com/thailand/th/Search-Engine-Optimization/Search-Engine-Optimization.html
1. วิเคราะห์การแข่งขัน (Competitive Analysis)
2. เลือกคำค้นหา หรือเลือกใช้คีย์เวิร์ด (Finding Keywords)
3. ปรับแต่งเว็บเพ็จให้ถูกหลัก ของเสิร์ชเอนจิ้น (On Page Factors)
4. เขียนเนื้อหา ของเว็บเพจให้ถูกต้อง ตามหลักที่เสิร์ชเอนจิ้นกำหนดไว้ (SEO Copywriting)
5. ดีไซน์เว็บไซต์ให้ถูกหลัก ของเสิร์ชเอนจิ้น (Search Engine Friendly Design)
6. ลงทะเบียนเว็บไซต์ กับเสิร์ชเอนจิ้นต่างๆ เช่น MSN, Yahoo, Google (Search Engine Submission)
7. สร้างลิ้งค์ให้กับเว็บไซต์ (Link Building)
8. ติดตาม และการประเมินผล (Tracking and Monitoring)

ลักษณะสำคัญของวิสาหกิจชุมชน
มีองค์ประกอบอย่างน้อย 7 ประการ

จาก http://farmdev.doae.go.th/Enterprise/EnterpriseDoc.html
วิสาหกิจชุมชน (SMCE หรือ small and micro community enterprise) หมายถึง กิจการของชุมชนเกี่ยวกับการผลิตสินค้า การให้บริการหรือการอื่น ๆ ที่ดำเนินการโดยคณะบุคคลที่มีความผูกพัน มีวิถีชีวิตร่วมกันและรวมตัวกันประกอบกิจการดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นนิติบุคคลในรูปแบบใด หรือไม่เป็นนิติบุคคล เพื่อสร้างรายได้และเพื่อการพึ่งพาตนเองของครอบครัว ชุมชนและระหว่างชุมชน
ความหมายของวิสาหกิจชุมชนโดยสรุป คือ การประกอบการเพื่อการจัดการ "ทุนของชุมชน" อย่างสร้างสรรค์เพื่อการพึ่งตนเอง
1. ชุมชนเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินการ
2. ผลผลิตมาจากกระบวนการในชุมชน โดยใช้วัตถุดิบ ทรัพยากร ทุน แรงงานในชุมชน เป็นหลัก
3. ริเริ่มสร้างสรรค์เป็นนวัตกรรมของชุมชน
4. เป็นฐานภูมิปัญญาท้องถิ่น ผสมผสานภูมิปัญญาสากล
5. มีการดำเนินการแบบบูรณาการ เชื่อมโยงกิจกรรมต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ
6. มีกระบวนการเรียนรู้เป็นหัวใจ
7. มีการพึ่งพาตนเองของครอบครัวและชุมชนเป็นเป้าหมาย

ขั้นตอนการเปิดร้านใน tarad.comHomepage : http://www.tarad.com/yonokcar/
+ tarad01.gif โฮมเพจของ tarad.com ให้คลิ๊กคำว่า สมัครเปิดร้านฟรี
+ tarad02.gif คลิ๊กคำว่า สมัครสมาชิก
+ tarad03.gif คลิ๊กคำว่า ยอมรับ ว่าอ่านข้อตกลงทั้งหมดแล้ว
+ tarad04.gif คลิ๊ก CheckUsername กรอกชื่อร้าน และอื่น ๆ
+ tarad05.gif ยินดีด้วย สมัครสมาชิกสำเร็จ แต่ยังไม่ได้เปิดร้าน
+ tarad06.gif กรอกข้อมูลเพื่อเปิดร้าน
+ tarad07.gif ยินดีด้วย เปิดร้านเสร็จแล้ว
+ tarad08.gif เข้าสู่ระบบแล้วกด Sign In
+ tarad09.gif ถ้ากดคำว่า สมัครสมาชิก ก็จะพบหน้านี้ใหม่
+ tarad10.gif ผลการ Sign In ที่สำเร็จ
+ tarad11.gif คลิ๊กเปิดตัวเลือกในเมนูด้านซ้าย
+ tarad12.gif คลิ๊ก หมวดหมู่สินค้าของร้านค้า
+ tarad13.gif ผลการเพิ่มหมวดหมู่สำเร็จ
+ tarad14.gif คลิ๊ก เพิ่ม/แก้ไขข้อมูลสินค้า และเลือกหมวดหมู่
+ tarad15.gif คลิ๊กเลือก หมวดหมู่สินค้าของตลาด.คอม ใหม่
+ tarad16.gif เพิ่มรูปภาพสินค้า
+ tarad17.gif เปลี่ยนสถานะสินค้าเป็น new
+ tarad18.gif หน้าแรกของร้านค้า
+ tarad19.gif คลิ๊ก ข่าวสารของร้าน และเพิ่มข้อมูล
+ tarad20.gif ผลการเพิ่ม ข่าวสารของร้านในหน้าแรก
+ tarad21.gif คลิ๊กรายการสินค้าตามหมวดหมู่
+ tarad22.gif เปลี่ยนรูปแบบของร้านค้าเป็น be green

tarad.ppt
(PPT Size : 2 MB)

จัดการภาพด้วย irfanview
จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ ที่ต้องการแก้ไขภาพ (Photo Retouch) ด้วยโปรแกรมเล็ก ๆ แบบนี้
1. ลดขนาดภาพ เพื่อส่งให้ลูกค้าทางอีเมล ซึ่งลดได้ทั้งพื้นที่เก็บข้อมูล และความกว้างสูง
2. เพิ่มลดความสว่าง สี และความคมชัด
3. สร้าง Photo Gallery ได้อย่างรวดเร็ว
iview.ppt (PPT Size 1.5 MB)
:: 01 :: 02 :: 03 :: 04 :: 05 :: 06 :: 07 :: 08 :: 09 :: 10 :: 11 :: 12 :: 13 :: 14 :: 15 :: 16 :: 17 :: 18 :: 19 :: 20 :: 21 ::

ebay.com information
  1. เว็บไซต์ของคนไทยแนะนำเกี่ยวกับ ebay เช่น gotoknow.org/blog/ebay, thaiebayuser.com, ebay.co.th, megabaht.com, siampoint.com
  2. ผลวิเคราะห์ว่าสินค้าขายได้หรือไม่ โดย thaiebayuser.com หรือ จำนวนสินค้าจากเมืองไทยใน ebay กว่า 5000 รายการ
  3. Marketplace Research มีค่าใช้จ่ายสำหรับรายงานนี้เริ่มต้นที่ $2.99/2 days (Pay-as-you-go. One time usage fee.)
  4. สินค้าจากประเทศไทย ที่สามารถประมูลซื้อ-ขาย ได้มากที่สุด คือ หมวดเสื้อผ้า เครื่องประดับ และหมวดกีฬา โดยสินค้าประเภทเครื่องประดับ อัญมณี และนาฬิกา จะถูกประมูลขายไปทุก ๆ 27 วินาที ภายใน 1 นาที สามารถขายได้ 3 ชิ้น ส่วนหมดเสื้อผ้าเครื่องแต่งการสามารถขายได้ 56 วินาทีต่อชิ้น ใน 1 ชั่วโมงสามารถขายได้ 67 ชิ้น
  5. กลุ่มสินค้าส่วนหนึ่งใน ebay.com ประกอบด้วย Antiques Art Baby Books Business & Industrial Cameras & Photo Cars, Boats, Vehicles & Parts Cell Phones & PDAs Clothing, Shoes & Accessories Coins & Paper Money Collectibles Computers & Networking Consumer Electronics Crafts Dolls & Bears DVDs & Movies Entertainment Memorabilia Gift Certificates Health & Beauty Home & Garden Jewelry & Watches Music Musical Instruments Pottery & Glass Real Estate Specialty Services Sporting Goods Sports Mem, Cards & Fan Shop Stamps Tickets Toys & Hobbies Travel Video Games ...

4 ขั้นตอน ในการขายบนอีเบย์ (ebay.com)
เรียบเรียงจาก ebay รวยออนไลน์
  1. ลงทะเบียน
    - ลงทะเบียนเป็นสมาชิกอีเบย์
    - การตั้งค่าแอคเคาน์ หรือรหัสผู้ขายอีเบย์
  2. ประกาศขาย
    - เลือกรูปแบบการขาย
    - เลือกหมวดหมู่
    - กำหนดหัวข้อ (Title) สินค้าของคุณในการขาย
    - เลือกทางเลือกสำหรับการประกาศขาย
    - เขียนคำอธิบายสินค้าให้ดี
    - การตั้งราคา
    - ตั้งเวลาในการประมูล
    - ให้ข้อมูลที่ตั้งของสินค้า
    - เพิ่มรูปภาพของสินค้าของคุณ
    - ทำให้สินค้าของคุณเด่นด้วยการเพิ่มจุดสนใจ
    - การให้ข้อมูลการชำระเงิน
    - การให้ข้อมูลการขนส่ง
  3. ส่งของ
    - กำหนดวิธีการส่งของ (dhl.co.th, thailandpost.co.th, fedex.com/th)
  4. ชำระเงิน
    - เลือกวิธีรับชำระเงิน